วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

OBAMARKETING ไวรัสการตลาดพันธุ์ใหม่


โดย : วันเพ็ญ แก้วสกุล

  • จาก : นสพ. กรุงเทพธุรกิจ

20 มกราคม 2552 เป็นวันที่ "บารัก โอบามา" เข้ารับตำแหน่งประธานนาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 44 อย่างเป็นทางการ
ชายผิวสีผู้นี้ก้าวขึ้นมาปรากฏอยู่แถวหน้าของโลกเพียงชั่วข้ามคืน ด้วยลูกเล่นแพรวพราวแต่จริงใจ ทุกมิติของแคมเปญกลมกล่อมแทบไม่ต้องมองหาส่วนผสมอื่น ก่อเกิด Political Marketing มิติที่หลอมรวม “นิว มีเดีย” ไว้เป็นหนึ่งในโฉมหน้าใหม่ศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกัน 2008
ลองตรวจสอบเส้นทาง “บารัก โอบามา” ดีๆ ผิดจากคำว่า “โชคช่วย” หลายขุมแต่ละจังหวะก้าวล้วนตรึกตรอง และกรองผลไว้อย่างแยบยล จะเรียกปฏิบัติการ “ล้มยักษ์” ก็ไม่ผิด เพราะก่อนหน้านั้นมีเพียงเศษเสี้ยวที่คิดว่า "มวยรอง" อย่าง "โอบามา" จะหาญสู้นางสิงห์ “ฮิลลารี” สตรีหมายเลข 1 ที่เลื่องชื่อและยึดครองพื้นที่สื่ออเมริกันมาช้านานได้
ต่อไปนี้คือบทวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การตลาดการเมืองของโอบามา หรือ "OBAMARKETING" เวอร์ชันประวัติศาสตร์ของมนุษย์ยุคเผ่าพันธุ์ "ไซเบอร์ ซาเปี้ยน" จากสามนักการตลาดระดับ “กูรู” ดร.เสรี วงษ์มณฑา, ผศ.ดร.กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ และ เกรียงไกร กาญจนะโภคิน
พร้อมเก็บเกี่ยวและถ่ายทอดแง่มุมที่มองต่างย้อนกลับไปดูนักการเมืองอเมริกันส่วนใหญ่พบว่า ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของ "การสื่อสาร" และมักจ้าง "มืออาชีพ" เข้ามาช่วยเรื่องการวางแผนมาตั้งแต่ยุคเจเอฟเค หรือจอห์น เอฟ เคนเนดี้ โดยมืออาชีพมีหน้าที่คอยกำหนดการใช้สื่อ และประเด็นการพูดหาเสียง
"เจเอฟเคเชื่อในพลังการสื่อสาร และทุ่มความพยายามในการเข้าถึงกลุ่มคนเป้าหมายให้ได้มากที่สุด" ดร.เสรี วงษ์มณฑากล่าวและว่า แน่นอนตอนนั้นย่อมเป็นสื่อทีวี แต่สำหรับยุคไซเบอร์ สเปซ "สื่อใหม่" หรือ "นิว มีเดีย" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อินเทอร์เน็ต" ช่วยในการเข้าถึงคนหมู่มาก และยังช่วยสร้างภาพลักษณ์โอบามาให้แตกต่างทิ้งห่างจาก "จอห์น แมคเคน" ที่อยู่มาได้จนถึงวันนี้โดยไม่มีอินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิต นอกเหนือจากมีจุดด้อยเรื่องการเป็นคนอนุรักษนิยม เป็นตัวแทนนายทุน ขณะที่โอบามา กินขาดเรื่องการเข้าถึงรากหญ้า และการศึกษาดีกรีนักศึกษาฮาร์วาร์ด
จุดเด่นเหนือชั้นโอบามายังไม่หมด การเปิดช่องขอรับบริจาคจากนักเรียน และผู้สนับสนุนในจำนวนน้อย 5, 10, 15 หรือ 25 ดอลลาร์ เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าเขาสนใจคนจน เสมือนเป็นการเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ภาพลักษณ์ทันสมัย ดูจริงใจ เข้าถึงได้ง่าย และใช้เครือข่ายสื่อทุกรูปแบบให้เกิดผลในเชิงความนิยมในโอบามา อันนำมาสู่คะแนนเสียงในตอนท้าย พร้อมจังหวะรุก และถอยเพื่อหักล้างเมื่อพลั้งยามถูกโจมตี
ที่สำคัญ แคมเปญหาเสียงที่เลิศหรูและตื่นตาของโอบามาไม่ได้เพอร์เฟคเต็มร้อย หากแต่มีทีมกองหลังที่เป็นมืออาชีพคอยเข้ามาแก้ปัญหาได้ทันควันทุกครั้ง ด้วยกระบวนการสื่อสารที่ทรงอิทธิพล
ผศ.ดร.กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ สถาบันศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองลึกลงถึงมิติของแบรนด์ชื่อ "โอบามา" ที่ลงตัวตั้งแต่จุดสตาร์ท แม้ในยามวิ่งบนรันเวย์และคราวที่ต้องแลกหมัดกับแบรนด์ชื่อแมคเคน ตั้งแต่การสร้างรูปลักษณ์โลโก้ สโลแกน ล้วนสื่อถึงการเรียกร้องให้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ต่างกันสุดขั้วกับแมคเคนคู่แข่งที่เน้นความเป็นอนุรักษนิยม และประสบการณ์ของคนรุ่นเก่า
การสื่อสาร หรือ Brand Communication กลายเป็นพระเอกของแคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2008 ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปลุกเร้า และโจมตี
โอบามาออกแรงสุดๆ กับ one-to-one Communication เช่น จดหมายข่าว บล็อก เวบไซต์ ฯลฯ พยายามขยายอิทธิพลลู่ทางนี้ให้เป็น many-to-many Communication เพื่อสร้างพลังในสังคมวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้นิวมีเดีย และยุทธวิธีเฉพาะบุคคลมากขึ้นโดยอาศัยสื่ออินเทอร์เน็ต
"ที่น่าสนใจก็คือ อินเทอร์เน็ตมีส่วนอย่างมากในการสร้างชุมชน ซึ่งมีความสนใจร่วมกันและชื่นชอบคนเดียวกัน แต่สำหรับโอบามากลับใช้โอกาสนี้การเข้าถึงผู้คนที่มีมุมมองชีวิตแตกต่างกัน โดยมีโอบามาเป็นตัวเชื่อม"
แต่อีกขั้นกว่าของแคมเปญขายที่แมคเคน เทียบโอบามาไม่ติดที่ดร.กฤตินีให้ความสำคัญมาก นั่นคือ ปรากฏการณ์โอบามาได้สร้างสรรค์ประวัติศาสตร์การเลือกตั้งหน้าใหม่ที่เรียกว่าเป็น Consumer-Created Branding and Marketing หรือ การตลาดสร้างโดยผู้บริโภค ดึงผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการสร้างคอนเทนท์ด้วยตัวเอง เช่น มิวสิควิดีโอ หรือเพลง Yes we can เป็นต้น
เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ อีเว้นท์ เอเจนซี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแคมเปญต่างๆ ที่โอบามานำเสนอไว้ในเวบไซต์ว่า มีความเหนือชั้น สื่อให้คนพบเห็นรับรู้ได้ถึงความหวังวันใหม่ เนื้อหาอัดแน่นไปด้วยลูกเล่นที่น่าสนใจ และระบุเป้าหมายที่ต้องการสื่อถึงแบบเฉพาะเจาะจง ด้วยการใช้ภาษาที่หลากหลาย เช่น ภาษาอาหรับ ฯลฯ
แต่ละ Template ที่นำมาใช้รู้ได้ว่า ต้องการสื่อถึงคนกลุ่มเด็ก คนแก่ คนผิวสี และผิวขาว กิจกรรมเดินทางพบปะผู้คนในแต่ละจุดถูกนำไปบรรจุไว้ในเวบไซต์แบบเรียลไทม์ โอบามาช่วงชิงโอกาสและใช้เส้นทางนี้พรีเซ้นท์ตัวเองผ่านอินเทอร์เน็ตในทุกย่างก้าว จากทีมงานระดับมืออาชีพ
กิจกรรมตลอดทั้งแคมเปญวางแผนอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยง และวัดผลได้ การกระโดดเข้าไปเล่นกับมิวสิค มาร์เก็ตติ้ง บทเพลงที่สร้างพลังล้นเหลือในเชิงการตลาด โมบายล์ มาร์เก็ตติ้ง เปิดช่องให้คนรุ่นใหม่วัยกระเตาะดาวน์โหลดเพลงและทุกสิ่งที่ต้องการมาไว้กับตัว
โปรโมชั่นขายสินค้าเข็มกลัด เสื้อ หมวก ที่ลืมไปเลยกับความคาดหวังเรื่องตัวเงิน เพราะมันได้กลายเป็นสื่อชั้นดีที่นำพาโอบามาออกเดินทางแบบไร้ขีดจำกัด
“การจะคิดแบบนี้ได้ต้องเข้าใจคนอเมริกันให้ได้ก่อนว่า อเมริกันสไตล์ รักใคร เกลียดใคร” กูรูอีเว้นท์เมืองไทยกล่าว
แม้แต่การขึ้นปราศรัย มองให้ลึกเห็นได้ถึงความไม่ธรรมดา โอบามาปรับเปลี่ยนวลีไปตามแต่ละสถานที่เปิดฉากสื่อสาร บุคคลซึ่งยืนรายล้อมอยู่เบื้องหลังล้วนสื่อถึงคนที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม
“การเชื่อมโยงกันตลอดทั้งแคมเปญทั้งกระบวนการสื่อสาร การเลือกใช้สื่อและตัวตนของโอบามา เดินอย่างเป็นเอกภาพและสม่ำเสมอตลอดเส้นทางการชิงชัยศึกเลือกตั้งเป็นงานหินที่ทำได้จริงแบบกลมกล่อมไม่ต้องเติมส่วนผสมอื่นเพิ่ม”เกรียงไกรกล่าวและว่า หนึ่งในความเหนือชั้นของแคมเปญนี้อยู่ที่ตัวตนที่ชัดเจนยิ่งของโอบามา ความเป็นคนผิวสี หลากหลายเชื้อชาติ จุดด้อยที่พลิกกลับมาเป็นจุดแกร่งและโอกาส ซึ่งทอดทางยาวให้โอบามาก้าวขึ้นมาเป็นที่ชื่นชอบของคนอเมริกัน
โอบามาแบรนด์นี้จึงเท่ากับความหวังที่สังคมอเมริกัน และประเทศต่างๆ ทั่วโลกรู้จักแล้ว !

"CRM การบริหารลูกค้าสัมพันธ์แห่งโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน"

แนวปฏิบัติทางธุรกิจแบบลูกค้าสัมพันธ์ หรือ CRM นั้นมีการทำมานานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำธุรกิจในประเทศแถบเอเชีย เพียงแต่ไม่เห็นเด่นชัด นั่นเพราะกลมกลืนกับวัฒนธรรม
CRM คือการผูกใจลูกค้าด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เจ้าของร้านขายของชำจะรู้จักลูกค้าทุกคน สามารถพูดคุยให้คำปรึกษากัน ร้านขายจักรยานยนต์ออกใบรับประกันให้ลูกค้า แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปบันทึกในคอมพิวเตอร์เพื่อทำการวิเคราะห์การขายและลูกค้า
ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่โลกาภิวัฒน์ (Globalization) ทำให้การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ได้รับความสนใจมากขึ้น!
ทั้งนี้เพราะบริษัทต่างๆ พบว่า ตลาดการซื้อขายเริ่มเปลี่ยนไป ลูกค้ามีทางเลือกในการซื้อสินค้ามากขึ้น มีคู่แข่งทั้งจากภายในและต่างประเทศ รวมทั้งการเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้ลูกค้ามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าได้มากขึ้น สามารถค้นหาว่ามีผู้ค้ารายใดในตลาดบ้าง และราคาเปรียบเทียบเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลายๆ ธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทันได้ปิดตัวลง
CRMหรือ Customer Relationship Management หรือเรียกว่าการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ก็คือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการใช้เทคโนโลยีและการใช้บุคลากรอย่างมีหลักการ เพื่อเพิ่มระดับการให้บริการแก่ลูกค้า สร้างความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า รวมทั้งตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ และการบริการ
เป้าหมายของ CRM นั้นไม่ได้เน้นเพียงแค่การบริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเก็บข้อมูลพฤติกรรมในการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้า จากนั้นจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการบริการรวมไปถึงนโยบายในด้านการจัดการซึ่งเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนา CRM ก็คือ การเปลี่ยนจากผู้บริโภคไปสู่การเป็นลูกค้าตลอดไป (Customer loyalty)

เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาใช้ในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
1.ระบบการตลาดอัตโนมัติ (Market Automation) เป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะบุคคล (Personalization) ประวัติลูกค้า (ประเภทของสินค้าที่ซื้อ จำนวนมูลค่าในการซื้อ ความถี่ในการซื้อ)
2. การขายอัตโนมัติ (Sales automation) กระบวนการขายเป็นกระบวนการที่ทำให้สินค้าไปสู่มือลูกค้า หรือการให้บริการกับลูกค้า
3.บริการ (Service) เป็นงานให้บริการลูกค้า ได้แก่ ระบบ Call center การตอบคำถามของลูกค้า การบริหาร Workflow การโต้ตอบผ่านระบบ IVR (Interactive Voice Response) ศูนย์บริการ การจัดทำเว็บไซต์ เพื่อให้บริการดาวน์โหลดไฟล์ รับแจ้งปัญหาการให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
4.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) เป็นการทำธุรกรรมผ่านระบบอินเทอร์เน็ตตั้งแต่การให้ข้อมูลสินค้า การทำรายการซื้อขาย และระบบการชำระเงิน ความปลอดภัย
เทคโนโลยีที่จำเป็นต้องใช้ในการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ได้แก่
1. คลังข้อมูล (Data Warehousing) เป็นการรวมฐานข้อมูลหลายฐานจากระบบปฏิบัติการ เช่น ระบบขาย ผลิต บัญชี มาจัดทำสรุปใหม่หรือเรียบเรียงใหม่ตามหัวข้อต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย
2.การขุดค้นข้อมูล (Data Mining and OLAP) เป็นเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ที่ดึงข้อมูลและวิเคราะห์จากข้อมูลปฏิบัติการ จากระบบฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ทางสถิติ การหาพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น รวมทั้งการแบ่งแยกตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ
3.การใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต (Internet Technology) เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การใช้เว็บเทคโนโลยี การใช้ e-mail การใช้ระบบส่งข้อความ (Instant messaging) เช่น MSN messenger หรือ ICQ
4.ระบบศูนย์บริการลูกค้า (Call-center) การใช้ระบบ PC telephony รวมถึง Internet telephony ซึ่งเป็นการรวมระบบโทรศัพท์เข้ากับระบบงานต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลของลูกค้า การขาย การเงิน และผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
5.ระบบโทรศัพท์มือถือ ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของโทรศัพท์มือถือ ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ทั้งในรูปแบบของ ภาพ เสียง ข้อมูล ภาพเคลื่อนไหว เนื่องจากจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งที่มีอยู่และอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้โทรศัพท์มือถือ มีบทบาทสำคัญในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า

ประโยชน์ของ CRM คือ 1. มีรายละเอียดข้อมูลของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้แก่ Customer Profile, Customer Behavior
2. วางแผนทางด้านการตลาดและการขายอย่างเหมาะสม
3.ใช้กลยุทธ์ในการตลาด และการขายได้อย่างรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพตรงความต้องการของลูกค้า
4.เพิ่มและรักษาส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ
5.ลดการทำงานที่ซับซ้อน ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน เพิ่มโอกาสในการแข่งขันก่อให้เกิดภาพพจน์ที่ดีต่อองค์การ

ห่วงโซ่อุปทานซัพพลายเชน คือ อะไร...?

“Supply Chain เป็นกิจกรรมที่มีการปะทะสัมพันธ์หรือ ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างการจัดซื้อกับการตลาดในลักษณะที่เป็นบูรณาการ การค้าในยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งเป็นการค้าแบบไร้พรมแดน ทั้ง Logistics และ Supply Chain ต่างก็จะมีภาระหน้าที่ (Function) แตกต่างกันในอาณาบริเวณของตลาด โดยต่างก็เป็นกิจกรรม ที่ส่งเสริมการตลาด และการผลิตโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน”
คำนิยามของ Supply Chain โดย Robert B. Handfield & Ernest L. Nichols, Jr.
“Supply Chain Management (SCM) is the integration and management of supply chain organizations and activities through cooperative organizational relationships,effective business processes , and high levels of information sharing to create high-performing value systems that provide menber organizations a sustainable competitive advantage.”

จากคำนิยามข้างต้น อาจให้ความหมายของ Supply Chain Management ว่าเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบูรณาการ (Integration) และการจัดการในองค์กรที่ได้มีการนำห่วงโซ่อุปทานและยังรวมถึงกิจกรรมต่างๆ และเกี่ยวข้องกับกิจกรรมความสัมพันธ์และความร่วมมือ ซึ่งมีผลกระทบต่อกระบวนการทางธุรกรรมในอันที่จะสร้างเสริมให้มีมูลค่าเพิ่มในสินค้าแะบริการอันนำมาซึ่งความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ในทัศนะของผู้เขียนให้คำจำกัดความที่น่าจะเหมาะสมและกระทัดรัดที่สุดเกี่ยวกับ Supply Chain Management ในความหมายที่ว่า ปฏิสัมพันธ์ของการจัดการกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอุปทานของสินค้าและบริการ โดยการปฏิสัมพันธ์จะมีลักษณะเชิงบูรณาการ โดยมีเป้าหมายในการที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม และสนองตอบต่อความต้องการของตลาด , การผลิต , การกระจายและการส่งมอบสินค้าและรวมถึงการสื่อสารสนเทศของข้อมูลและข่าวสาร โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะลดต้นทุนรวมของธุรกิจและเพิ่มศักยภาพของการแข่งขัน จะเห็นได้ว่าการจัดการซัพพลายเชนเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งของวัตถุดิบต้นน้ำ (Up stream Source) จนถึงการส่งมอบสินค้าและบริการปลายน้ำ (Down stream Customers) ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ จะครอบคลุมถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบกระบวนการส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดและการผลิต รวมถึงกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจนถึงมือผู้ต้องการสินค้า ทั้งนี้ กระบวนการต่างๆ จะมีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะของบูรณาการ โดยมุ่งที่จะลดต้นทุนรวมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ อันนำมาซึ่งความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่า ทั้งนี้ ภาระกิจสำคัญของ Supply Chain จะมุ่งให้ลูกค้าเกิดความพอใจสูงสุด โดยเน้นในเรื่องประสิทธิผลเชิงต้นทุน และผลตอบแทนทางธุรกิจก็คือ Profit Gain Satisfaction

Supply Chain เป็นเรื่องของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการวางแผนการผลิต และกิจกรรมทางการตลาด โดยเฉพาะ Marketing Mixed (ส่วนผสมการตลาด) ซึ่งจะเห็นว่า Supply Chain จะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Product Concept (แนวคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์) , Product Design , Raw Material Supply (การจัดหาวัตถุดิบ) , Production Process (ขบวนการเกี่ยวกับการผลิต) , Transport , Warehouse และ Distributor (การกระจายสินค้า) เพื่อจัดจำหน่ายต่อไปยังผู้ค้าส่งและร้านค้าปลีก จนกระทั่งสินค้าไปถึงมือผู้บริโภคคนสุดท้าย (End Consumers) กระบวนการดังกล่าวนี้เรียกว่า “ห่วงโซ่ของการสร้างมูลค่า” หรือ “VALUE CHAIN” มีนักวิชาการโลจิสติกส์บางท่าน กล่าวถึง Logistics และ Supply Chain ต่างเป็นกิจกรรมที่ เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้า (Cargoes Moving) โดยกล่าวว่า Logistics จะเป็นการเคลื่อนย้ายเฉพาะภายในองค์กร และ Supply Chain เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการระหว่างองค์กร ซึ่งผู้เขียนก็จะมีความเห็นที่ต่างออกไป คือ “Logistics เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้าย (Moving) สินค้าและบริการ ทั้งในองค์กรและระหว่างองค์กร” ส่วน Supply Chain จะเน้นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับองค์กร ทั้งที่เป็นส่วนอุปสงค์ (Demand) และส่วนของอุปทาน (Supply Side) ในลักษณะที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและลดต้นทุน การเคลื่อนย้าย (Moving) ในความหมายนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะกิจกรรมขนส่งที่เป็น Transport เท่านั้น แต่รวมถึงกระบวนการในการส่งต่อที่มีผลทางกายภาพให้วัตถุดิบ-สินค้า-บริการ มีการเคลื่อนย้ายจาก Origin Sources ไป End Sources ส่วนคำว่า Chain นั้นผู้เขียนเจตนาที่จะใช้คำว่าห่วงโซ่ ไม่ใช้คำว่า “โซ่” เหมือนในบางตำรา เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Supply Chain เป็นเรื่องของบูรณาการ Chain ในความหมายที่เป็น ห่วงโซ่ จะให้เห็นภาพลักษณ์ที่ชัดเจนว่าเป็นห่วงของแต่ละโซ่ที่สอดคล้องร้อยรัดแต่ละกระบวนการที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain เข้าด้วยกันในลักษณะที่มีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นวงแหวน
ความหมายของซัพพลายเชนแบบปฏิสัมพันธ์เชิงวงแหวน (Annular Reaction) ปฏิสัมพันธ์ หรือ Reaction เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการสนองตอบหรือการตอบโต้ระหว่างบุคคลหรือหน่วยงาน ซึ่งจะมีผลทั้งในทางบวกและทางลบ สำหรับวงแหวนผู้เขียนเจตนาใช้คำว่า Annular ซึ่งแปลว่า “วงแหวนล้อมรอบ” โดยไม่ใช้ “Circle” ซึ่งเน้นความเป็นวงกลมซึ่งไม่ใช่ความหมายที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อ Supply Chain จะเกี่ยวข้องในการสนับสนุนการผลิตและการจำหน่ายสินค้าและบริการ รวมถึง การเชื่อมต่อและประสานสัมพันธ์ของรอยต่อของกิจกรรมต่างๆในกระบวนการดังกล่าว โดยมีภาระกิจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน จะอยู่ที่การจัดการเคลื่อนย้าย (Moving) สินค้าและบริการ รวมทั้งข้อมูลข่าวสาร ภายใต้ตัวชี้วัดและข้อจำกัดของเงื่อนเวลาที่เป็นแบบทันเวลา (Just In Time & Real Time) โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในการสร้างความพอใจให้กับลูกค้าแบบยั่งยืน (Customer Satisfaction)
โดยกระบวนการของ Supply Chain จะประกอบไปด้วย กระบวนการจัดหา , การผลิต , การตลาด , การกระจายสินค้า , การขนส่งและการเคลื่อนย้าย (Movement) , การจัดเก็บ และเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีการจัดการเชิงระบบ (Systems) ให้แต่ละกระบวนมีการสอดประสานมีปฏิสัมพันธ์ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความพอใจให้ลูกค้าและลดต้นทุนรวมเพื่อเพิ่มศักยภาพของการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน โดยพันธะกิจของ Supply Chain จะครอบคลุมเกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารข้อมูล เป็นปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยทำให้การดำเนินงานต่างๆดังกล่าว สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมี ประสิทธิผล โดย Supply Chain จะเริ่มต้นจากแหล่งของวัตถุดิบไปสู่ผู้ผลิตและกระบวนการขนส่งไปสิ้นสุดปลายทางที่ผู้บริโภคขั้นสุดท้ายที่เรียกว่า Consumers คือเป็นกิจกรรมที่มีการปะทะสัมพันธ์หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างการจัดซื้อกับการตลาดในลักษณะที่เป็นบูรณาการ ซึ่งจากนิยามในมุมมองของผู้เขียนนั้น กิจกรรมของ Logistics ก็จะเป็นกระบวนการหนึ่งในกิจกรรมของ Supply Chain แต่ Logistics จะเน้นพันธกิจในฐานะเป็นกระบวนการที่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการในแต่ละช่วงต่อของกระบวนการ Supply Chain ซึ่งทำให้รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ของกระบวนการที่เกี่ยวข้องกลายเป็นลักษณะของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งก็คือ Supply Chain นั่นเอง
อย่างไรก็ดี กิจกรรมของ Logistics ไม่ใช่มีแต่เฉพาะการเคลื่อนย้ายสินค้า แต่ยังประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆอีกมากมาย ทั้งนี้การเคลื่อนย้าย (Moving) ก็ไม่ใช่ หมายความเฉพาะการเคลื่อนย้ายสินค้าในลักษณะของการขนส่ง (Transportation) แต่หมายถึงกิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้สินค้าและบริการ มีการเคลื่อนไหว เช่น การเคลื่อนย้ายสินค้าภายในคลังหรือการเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบเข้าไปในกระบวนการผลิต

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

InSIDE ชีวิต:การจูงใจคนให้ทำงานได้ดี

คุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้บริหารก็คือ ต้องสามารถจูงใจพนักงานให้เกิดกำลังใจให้ทำงานได้ดี เพื่อการเติบโตขององค์กร คนส่วนใหญ่นึกถึงการจูงใจให้ทำงานโดยการให้รางวัลหรือเงินให้มากขึ้น และมีการลงโทษถ้าทำงานได้ไม่ดี นั่นเป็นการจูงใจแบบทั่ว ๆ ไป แต่ยังมีวิธีอื่นอีกที่ผมกำลังเสนอ
เมื่อผมได้รับเชิญจากบริษัท LC Delight จำกัด ให้ไปบรรยายให้ผู้บริหารฟังเรื่อง จิตวิทยาการจูงใจคน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้เสนอแนวคิดหนึ่งที่ผู้บริหารต้องทำให้ได้คือ การจูงใจให้คนทำงานได้ดีโดยการกระตุ้นให้เขาเกิดการรักตัวเองให้เป็น ให้มาก และให้ถูกทาง เมื่อเขารักตัวเองเป็นแล้ว เขาจะอยากทำงานให้ดีขึ้น เพื่อตัวเขาเองนั่นแหละ เพื่อเขาจะได้รักตัวเองได้มากขึ้นไงเล่า
ส่วนมากมนุษย์จะรักตัวเองกันอยู่แล้ว มากน้อยต่างกัน บางคนก็รักแบบผิดทาง แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่รักตัวเอง หรือไม่สามารถรักตัวเองได้ เพราะเขาคิดว่าเขาไม่มีความดีมากพอที่จะรักตัวเองได้ เขาจึงคอยให้คนอื่น (โดยเฉพาะนายหรือผู้ร่วมงาน) มารักเขา มาให้ความสนใจ ชมเชย หรือให้กำลังใจ ซึ่งโอกาสจะได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้ยาก จึงทำให้เกิดปัญหาในการทำงานมากขึ้น เช่น ใจน้อย แสนงอน หมดกำลังใจ ถดถอย หรือก้าวร้าว ประท้วง ถ้าจะบอกให้เขารักตัวเองให้เป็น บางคนจะงงและคิดว่าเป็นการเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ไม่ใช่หรอก! การรักตัวเองให้เป็นนั้นไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นการที่เราจะต้องคิดดี ๆ กับตัวเอง รู้สึกดี ๆ และทำดี ๆ กับตัวเองเสมอต่างหากเล่า เข้าข่ายคิดดี ๆ พูดดี ๆ และทำดี ๆ กับตัวเอง
ส่วนสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ต้องทำและไม่ต้องมี เช่น การมีอารมณ์ร้าย ฟุ้งซ่าน คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีกับตัวเอง การจะรักตัวเองได้ดีควรจะต้องรู้จักสิ่งดังต่อไปนี้
1. พลังของการตั้งใจมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ อย่างไร้จุดหมาย หรือทำอะไรเล่น ๆ ไปวันหนึ่ง ๆ นึกถึงตัวเองถ้าถูกเพื่อนกดให้จมน้ำและเราทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือน้ำได้ซิ เราจะไม่อยากตาย อยากมีชีวิตอยู่ และอยากอยู่แบบตั้งใจ โดยรู้จักเลือกสิ่งดี ๆ เข้าหาชีวิต อยากถนอมชีวิตต่อไป
2. พลังของความมั่นใจตัวเอง ได้สอนให้เรารู้จักมั่นใจตัวเองได้ตามความเป็นจริงโดยไม่ต้องรอคอยหรือเปลี่ยนแปลงใด ๆ เขาจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนเก่งมาก – ดีมากในทุกสถานการณ์ของชีวิต จากนั้นเขาจะรักตัวเองเป็น และมีความสุขมาก เมื่อพนักงานทุกคนรักตัวเองเป็นแล้ว ก็ต้องสอนเขาเรื่องเป้าหมายของการทำงาน เพราะงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่สำคัญมาก เขาจะอยากทำงานให้ดีขึ้น ซึ่งเท่ากับเขาทำดีเพื่อตัวเขาเอง เพราะเมื่อเขาทำงานได้ดี เขาก็จะได้เงินมากขึ้น และมีความเจริญก้าวหน้าในงานต่อไป ซึ่งเป็นการเสริมความรักตัวเองของเขาได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาสามารถรักตัวเองได้มากขึ้น เรียกว่าการที่เขาทำงานได้ดี รักองค์กร มีคุณภาพการทำงานได้ดี ไม่ใช่เพื่อองค์กรหรอก แต่เป็นผลจากการที่เขารักตัวเองเป็น และอยากเพิ่มคุณค่าของตัวเองด้วยการทำงานให้ดีขึ้นต่างหาก
เขาจะอยากทำดี ๆ กับลูกค้า ทำดีกับทีมงาน ให้ความร่วมมือ ใช้ศักยภาพเต็มความสามารถเพื่อการทำงาน การจะสอนให้เขาทำงานเป็นทีมก็ทำได้ง่ายขึ้น เพราะเขามีความสุขแล้วและอยากทำงานให้ดีขึ้น เพื่อตัวเขาเองด้วย นั่นก็คือต้องสอนให้เขารู้จักผสานความรักตัวเองเข้ากับการทำงาน ให้ทำงานเพื่อตัวเอง อย่าไปตอกย้ำให้เขาทำงานเพื่อองค์กร ซึ่งเขาจะไม่อยากทำ หัวใจของการพัฒนาคนก็อยู่ที่ตรงนี้เอง คือให้เขาตระหนักในคุณค่าของตัวเองตามความเป็นจริง และสามารถรักตัวเองได้ จากนั้นเขาจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเขาจะได้ทั้งในแง่การใช้เวลาให้เป็น การสร้างมนุษยสัมพันธ์ ฯลฯ
ตกลงการบรรยายเรื่องการจูงใจให้คนทำงานได้ดีก็คือ จูงใจให้คนสามารถรักตัวเองให้เป็นด้วยวิธีการต่าง ๆ และแตกขยายแนวคิดให้กว้างไกลออกไปเพื่อการทำงานให้ดีขึ้น เพื่อตัวเขาเอง เพื่อให้รักตัวเองได้มากขึ้นโดยไม่ต้องรอคอยให้ใครมารักเราเลย เพราะ No body love you for you และ No body love you like you “ไม่มีใครรักคุณเพื่อตัวคุณหรอก และ ไม่มีใครรักคุณเท่าตัวคุณด้วย” จำไว้ครับ


ที่มา: ผู้จัดการรายสัปดาห์